top of page

Frameworks ยอดนิยมสำหรับการพัฒนา Software ที่คุณไม่ควรพลาด

  • รูปภาพนักเขียน: Kattiya Jantas
    Kattiya Jantas
  • 12 มี.ค.
  • ยาว 2 นาที

ในปี 2025 เทคโนโลยีและเครื่องมือในการพัฒนา Software จะก้าวไปอีกขั้น Frameworks ต่าง ๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นไปได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Frameworks ที่คาดว่าจะครองตลาดในปี 2025 พร้อมข้อดี ข้อเสีย และแนวโน้มที่น่าสนใจ


Frameworks ยอดนิยมสำหรับการพัฒนา Software ที่คุณไม่ควรพลาด
Frameworks ยอดนิยมสำหรับการพัฒนา Software ที่คุณไม่ควรพลาด

Web Development Framework คืออะไร?

พูดง่าย ๆ ก็คือ Web Development Framework คือชุดเครื่องมือสำหรับการสร้างเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นเหมือน "ไพ่ตาย" ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้าง จัดการ และเปิดตัวโปรเจกต์บนเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมี โค้ดสำเร็จรูป ไลบรารี และทรัพยากรอื่น ๆ ให้ใช้งาน เป้าหมายหลักของเฟรมเวิร์ก คือ ทำให้การพัฒนาเว็บง่ายและรวดเร็วขึ้น


  • เฟรมเวิร์กช่วยจัดโครงสร้างของโค้ด

  • มีองค์ประกอบและฟีเจอร์สำเร็จรูปที่พร้อมใช้งาน

  • ลดงานที่ซ้ำซาก ทำให้สามารถโฟกัสไปที่จุดเด่นของโปรเจกต์ได้


โดยรวมแล้ว Web Development Framework มีไว้เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างเว็บแอปที่ดีกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยขึ้น โดยใช้ความพยายามน้อยลง


ประเภทของ Web Development Framework

เฟรมเวิร์กสำหรับพัฒนาเว็บสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ขึ้นอยู่กับว่าส่วนไหนของเว็บแอปที่คุณต้องการสร้าง

1. Frontend (Client-Side) Frameworks

เฟรมเวิร์กประเภทนี้เน้นที่ การพัฒนา UI (User Interface) และ UX (User Experience) ซึ่งทำงานอยู่บน ฝั่งเบราว์เซอร์

  • ควบคุมการแสดงผลของเนื้อหาให้กับผู้ใช้

  • จัดการอินเทอร์แอคชัน เช่น การคลิก และการส่งแบบฟอร์ม

ทำไมต้องใช้?

  • ทำให้สร้างเว็บไซต์ที่ ตอบสนองไวและโต้ตอบได้ดี ซึ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

  • จัดการ state management และ data binding ได้ง่ายขึ้น


2. Backend (Server-Side) Frameworks

เฟรมเวิร์กประเภทนี้มุ่งเน้นที่ ตรรกะฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นส่วนที่รับผิดชอบต่อ

  • การประมวลผลข้อมูล

  • การจัดการฐานข้อมูล

  • ระบบยืนยันตัวตน (Authentication), Routing และ Security

ทำไมต้องใช้?

  • ช่วยให้นักพัฒนา ตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และผสานรวมกับฐานข้อมูลได้ง่ายขึ้น

  • จำเป็นสำหรับการสร้าง RESTful API และการจัดการงานฝั่ง Backend อย่างมีประสิทธิภาพ


3. Full-Stack Frameworks

เฟรมเวิร์กประเภทนี้รวม Frontend + Backend ไว้ด้วยกัน ทำให้นักพัฒนาสามารถทำงานได้ครอบคลุมทุกส่วนของแอปพลิเคชัน

ทำไมถึงได้รับความนิยม?

  • ประหยัดเวลา เพราะไม่ต้องใช้เฟรมเวิร์กหลายตัว

  • จำเป็นสำหรับการพัฒนา แอปพลิเคชันแบบครบวงจร ที่ต้องการการทำงานระหว่างฝั่ง Client และ Server อย่างราบรื่น


Frameworks ยอดนิยมในปี 2025

การเลือกเว็บเฟรมเวิร์กที่ใช่สามารถทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น การเลือก Frameworks ที่เหมาะสมตามความต้องการของโปรเจกต์เป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้เราจะมาดูเฟรมเวิร์กยอดนิยมในปี 2025 ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บและแอปพลิเคชัน รวมถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละตัว


1. React (Web Development)

React เป็นหนึ่งใน Frameworks ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการพัฒนา Web Application โดยมีจุดเด่นเรื่องการใช้ Virtual DOM ทำให้การอัปเดต UI รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ข้อดี:

  • ใช้งานง่ายและมีชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่

  • รองรับการพัฒนาแอปทั้ง Web และ Mobile (ผ่าน React Native)

  • มีเครื่องมือและไลบรารีให้เลือกใช้มากมาย

ข้อเสีย:

  • มี Learning Curve สูงสำหรับผู้เริ่มต้น

  • ต้องอาศัยการจัดการ State ที่ดีเพื่อป้องกันปัญหาซับซ้อน

แนวโน้ม: React 18 มาพร้อมกับ Concurrent Rendering และ Server Components ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและรองรับ Server-Side Rendering ได้ดีขึ้น


2. Angular (Web Development)

Angular เป็น Framework ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Google โดยเหมาะกับการพัฒนา Web Application ขนาดใหญ่และซับซ้อน

ข้อดี:

  • มีฟีเจอร์ครบวงจร เช่น Routing, State Management, Dependency Injection

  • ใช้ TypeScript ช่วยให้การพัฒนาโค้ดมีคุณภาพสูงขึ้น

  • รองรับ Progressive Web Apps (PWA)

ข้อเสีย:

  • มี Learning Curve สูงและค่อนข้างซับซ้อน

  • Performance อาจด้อยกว่า Framework อื่น ๆ ในบางกรณี

แนวโน้ม: Ivy Renderer ช่วยลดขนาดไฟล์และเพิ่มความเร็วในการคอมไพล์ รองรับการพัฒนา Micro-Frontend มากขึ้น


3. Vue.js (Web Development)

Vue.js เป็น Framework ที่เน้นความเรียบง่ายและยืดหยุ่น เหมาะกับทั้งโปรเจ็กต์ขนาดเล็กและใหญ่

ข้อดี:

  • Syntax เข้าใจง่าย ใช้งานง่ายสำหรับมือใหม่

  • Performance ดี และมีขนาดไฟล์เล็ก

  • รองรับ Composition API ช่วยให้โค้ดสะอาดขึ้น

ข้อเสีย:

  • Community ไม่ใหญ่เท่า React และ Angular

  • อัปเดตเวอร์ชันใหม่บ่อย อาจต้องปรับโค้ดตาม

แนวโน้ม: Vue 3 มี TypeScript Support ที่ดีขึ้น ทำให้เหมาะกับโปรเจ็กต์ใหญ่และองค์กร


4. Flutter (Mobile Development)

Flutter เป็น Framework จาก Google ที่ช่วยให้พัฒนาแอปพลิเคชันบน iOS, Android, Web และ Desktop ด้วยโค้ดเดียว

ข้อดี:

  • พัฒนาแอปได้เร็วขึ้นด้วย Hot Reload

  • รองรับการออกแบบ UI ที่ยืดหยุ่น

  • มี Performance ใกล้เคียงกับ Native App

ข้อเสีย:

  • ขนาดแอปค่อนข้างใหญ่

  • ใช้ภาษา Dart ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเรียนรู้

แนวโน้ม: Flutter 3.0 ปรับปรุงให้รองรับ Desktop และ Web Apps ได้ดีขึ้น


5. SwiftUI (Mobile Development)

SwiftUI เป็น Framework สำหรับพัฒนาแอปใน Ecosystem ของ Apple เช่น iOS, macOS, watchOS และ tvOS

ข้อดี:

  • ใช้ Syntax แบบ Declarative ทำให้โค้ดสะอาดและอ่านง่าย

  • รองรับ Live Preview ช่วยให้เห็น UI ทันทีขณะเขียนโค้ด

  • พัฒนาแอปข้ามแพลตฟอร์มใน Apple Ecosystem ได้ง่ายขึ้น

ข้อเสีย:

  • ใช้งานร่วมกับ UIKit ได้จำกัดในบางกรณี

  • ต้องใช้ macOS และ Xcode ในการพัฒนา

แนวโน้ม: SwiftUI ได้รับการสนับสนุนจาก Apple อย่างต่อเนื่องและเป็นอนาคตของการพัฒนาแอป iOS


6. Django (Backend Development)

Django เป็น Framework สำหรับพัฒนา Backend ด้วยภาษา Python ที่มีเครื่องมือครบครัน

ข้อดี:

  • มีฟีเจอร์ "Batteries Included" ทำให้พัฒนาได้เร็ว

  • มีระบบ Security ที่แข็งแกร่ง

  • รองรับ ORM ช่วยให้จัดการฐานข้อมูลง่ายขึ้น

ข้อเสีย:

  • มี Learning Curve ค่อนข้างสูง

  • Performance อาจไม่เร็วเท่า Framework อื่นที่เป็น Asynchronous

แนวโน้ม: รองรับ Asynchronous View และเหมาะกับการพัฒนา Serverless Application มากขึ้น


7. Express.js + Node.js (Backend Development)

Express.js เป็น Web Framework ที่ทำงานบน Node.js ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยมในการพัฒนา Backend

ข้อดี:

  • ใช้งานง่ายและมีขนาดเล็ก

  • รองรับ API Development และ Microservices ได้ดี

  • มี Community ขนาดใหญ่และเครื่องมือเสริมมากมาย

ข้อเสีย:

  • ไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน ต้องจัดการเอง

  • ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการ CPU-Intensive

แนวโน้ม: การพัฒนาไปสู่ Serverless Architecture และการรองรับ Microservices มากขึ้น


8. Svelte (Web Development)

Svelte เป็น Framework ที่ช่วยลดการใช้ Virtual DOM โดยทำงานที่ Build Time แทน

ข้อดี:

  • มี Performance สูงเพราะไม่ใช้ Virtual DOM

  • โค้ดกระชับและเข้าใจง่าย

  • ขนาดไฟล์เล็ก

ข้อเสีย:

  • Ecosystem ยังเล็กเมื่อเทียบกับ React และ Vue

  • ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะของ Svelte

แนวโน้ม: SvelteKit จะช่วยให้ Svelte ถูกใช้งานมากขึ้นใน Production Apps


สิ่งสำคัญคือการเลือก Framework ที่เหมาะสม

การเลือก Web Development Framework ที่ดีที่สุด อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีตัวเลือกมากมาย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการเลือกเฟรมเวิร์กที่เหมาะสมกับโปรเจกต์ของคุณและทีมพัฒนา การติดตามเทรนด์และพัฒนาทักษะให้ทันสมัยจะช่วยให้คุณได้เปรียบในตลาดแรงงาน


  • ถ้าคุณต้องการพัฒนา UI ที่โต้ตอบได้ดี → ใช้ Frontend Framework

  • ถ้าคุณต้องการสร้าง ระบบจัดการข้อมูลฝั่งเซิร์ฟเวอร์ → ใช้ Backend Framework

  • ถ้าคุณต้องการสร้าง เว็บแอปแบบครบวงจร → ใช้ Full-Stack Framework


แหล่งที่มา: Index.dev, Medium, Roadmap.sh

Comments


download (9).png

Success Can't Wait

 Let’s Talk Business!

408/52, อาคารพหลโยธินเพลส ชั้น 12, กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย 10400

โทรศัพท์ : +6684-018-8850
Email : admin@creativeme.co.th

  • Facebook
  • LinkedIn
ติดต่อเรา

Your content has been submitted

An error occurred. Try again later

© Copyright 2025 Creative ME Co.,Ltd All reserved

bottom of page